วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ขออนุญาตลากิจ (๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓)

สวัสดีทุกท่านครับ

วันนี้วันศุกร์ที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ วันทำงานวันสุดท้ายในรอบสัปดาห์และรอบเดือนนี้ของหลายๆ ท่าน วันพรุ่งนี้มะรืนนี้ก็จะได้หยุดพักผ่อนกันแล้ว ขอให้มีความสุขทุกท่าน แต่ในส่วนของตำรวจเราก็เหมือนเดิมครับยังคงทำงานตามปกติ ๒๔ ชั่วโมงใน ๑ วัีน ๗ วันใน ๑ สัปดาห์และตลอดทั้งเดือนทั้งปีไม่มีวันหยุดตามตารางเวรที่จัดไว้เพื่อให้บริการพี่น้องประชาชน หากท่านมีอะไรให้พวกเรารับใช้ก็ขอเชิญได้ตลอดเวลาครับผม

สำหรับวันนี้จนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคมผมขออนุญาตลากิจเนื่องจากจะต้องไปทำบุญครบรอบวันเสียชีวิตของคุณพ่อที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ที่คุณแม่กำหนดไว้ในวันอาทิตย์ที่ ๓๑ นี้ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ความเคลื่อนไหวในบล็อกผมเกี่ยวกับการทำงานจึงขอนุญาตงดไว้ชั่วคราวก่อน หลังจากกลับมาแล้วจะนำเรื่องราวมาบอกมากล่าวมาเล่าให้ฟังเหมือนเดิม

แต่เพื่อให้ข้อมูลในส่วนนี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นผมจึงขออนุญาตนำเรื่องราวที่ผมกับครอบครัวไปเยี่ยมคุณแม่ช่วงลูกสาวปิดเทอมเมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมามานำเสนอประกอบโดยเรื่องราวที่ผมบันทึกไว้ (เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๑) มีดังนี้ครับ

คุณพ่อเหียน มัจฉา (เสียชีวิต 9 ก.ย.2542) คุณแม่เผือน มัจฉา

สวัสดีครับผม พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา สวป.สภ.พาน เชียงราย ขอรายงานตัวรับใช้พ่อแม่พี่น้องครับ

กลับมาถึงบ้านที่พะเยาวันนี้ครับหลังจากที่พาครอบครัวไปพักผ่อนและเยี่ยมคุณแม่ที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บ้านเกิดในช่วงลาพักผ่อนประจำปี มีความสุขดีมากเลยทีเดียว ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคุณแม่และภรรยาของผมพร้อมกับหลานที่คุณแม่รักมากตั้ง ๔-๕ วัน ได้พูดคุยทักทายสารทุกข์สุกดิบแบบถึงตัวไม่ต้องใช้วิธีโทรศัพท์เหมือนทุกๆ วันที่ผ่านมา คุณแม่ของผมตอนนี้ท่านอายุ ๗๐ ปีแล้ว สุขภาพไม่สู้จะแข็งแรงมากนัก เพราะป่วยเป็นโรคไตและจะต้องเข้ารับการฟอกไตสัปดาห์ละ ครั้งในวันอังคาร,พฤหัสบดีและวันเสาร์ ค่าใช้จ่ายครั้งละประมาณ ๑๐,๐๐๐ บาทโชคดีที่สามารถเบิกจากทางราชการได้ แต่ถึงแม้จะไม่สามารถเบิกได้ลูกๆ ทุกคน (คุณพ่อกับคุณแม่มีลูก ๗ คน) ก็พร้อมที่จะดูแลอย่างเต็มกำลังความสามารถ สำหรับคุณพ่อเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๒ ด้วยวัยเพียง ๖๓ ปีเท่านั้นเอง คิดแล้วก็ใจหายเหมือนกันว่าท่านมาด่วนจากไปด้วยวัยยังไม่มากสักเท่าไร บ้านของคุณแม่ผมอยู่ที่บ้านเลขที่ ๑๒/๑ หมู่ ๔ ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดระยอง สภาพบ้านก็เหมือนชนบททั่วไปนั่นแหละครับคือเป็นบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงที่ด้านล่างใช้เก็บหรือทำอะไรได้เยอะแยะ หน้าบ้านเดี๋ยวนี้น้องสาวของผมซึ่งอยู่กับคุณแม่พร้อมลูกชายของเขาวัย ๑๖ ปีปลูกเป็นสวนมะม่วง ส่วนด้านหลังติดกับคลองซึ่งเชื่อมต่อกับทะเลที่ห่างกันประมาณ กิโลเมตร แวดล้อมไปด้วยป่าไม้ชายเลนประเภทป่าโกงกาง,แสม,ต้นจาก ประมาณนี้ สภาพก็ยังสมบูรณ์ดี เพียงแต่ลำคลองเล็กลงไปกว่าที่ผมเคยอยู่สมัยเป็นเด็กๆ กับคุณพ่อคุณแม่พอสมควร ถามคุณแม่ท่านบอกว่าอาหารการกินในลำคลองและป่าชายเลนนั้นยังพอมีอยู่บ้างแม้จะไม่มากเหมือนสมัยก่อนก็ตาม พี่น้องแถวบ้านสามารถจับปูปลากุ้งหอยมากินได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อหามา ทุกคนยังมีและใช้ชีวิตแบบวิถีชนบทเหมือนๆ เดิมซึ่งก็มีความสุขมากเลยทีเดียวครับที่ขณะนี้หลายๆ แห่งวิถีและการดำเนินชีวิตแบบสมัยก่อนๆ นั้นแทบจะไม่เหลือให้เห็นแล้ว แต่ที่บ้านของคุณแม่ยังมีอยู่ และคิดว่าก็คงจะมีอยู่เช่นนี้ไปอีกตราบนานเท่านาน

บ้านของคุณแม่ หน้าบ้านเป็นสวนมะม่วง นี่เป็นคลองหลังบ้านครับ

ในส่วนของลูกสาวคนสวยของผมนอกจากได้มีโอกาสพูดคุยกับย่าแบบใกล้ชิด ได้เรียนรู้ภาษาและสำเนียงระยองจากคุณย่าเขาเช่น เพาะ (พ่อ) , แมะ (แม่) , " ไรฮิ" (อะไรนะ) , ยังงี่เกี๊ยะ (แบบนี้นะ) , ม่ะ (ทำไมล่ะ) , เตียบ (ถาด) , กะหลุก (หลุม) , หมวงพาน (มะม่วงหิมพานต์) และอีกหลายๆ คำแล้วเธอก็ยังช่วยสอนกำเมือง (ภาษาเมืองเหนือ) ให้คุณย่าอีกด้วยเช่น อันหยังเก๊าะ (อะไรนะ) , เจ๊า (ค่ะ) , ตะวา (เมื่อวาน) , วันพูก (พรุ่งนี้) , วันฮือ (มะรืนนี้) , บ่าก๊วยเต้ด (มะละกอ) ซะป๊ะซะเป้ด (เยอะแยะ มากมาย) แล้ว ก็อีกซะป๊ะซะเป้ดเลยล่ะ ทำให้คนสองวัยหัวเราะกันครืนเลยทีเดียวเพราะได้ศัพท์ได้คำใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้หรือได้ยินมาก่อนเพิ่มขึ้นก็ตอนงานนี้นี่เอง ทีนี้ไม่เท่านั้นซิ่ครับเพราะว่าคุณย่าพูดได้เพียงสำเนียงระยองเท่านั้น ครั้นจะพูดภาษากลางก็ไม่ได้ แบบว่าลิ้นคุณแม่ท่านแข็งไปแล้ว รวมทั้งท่านค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมภาษาถิ่นอีกด้วย ก็เลยทำให้หลานสาวคนสวยฟังคำบางคำไม่ออกว่าย่าพูดอะไร เดือดร้อนถึงผมซึ่งพูดและฟังสำเนียงทั้งสองภาคนี้ได้ต้องเป็นล่ามจำเป็นให้หลายครั้งเหมือนกัน แต่นี่ก็คือความสนุกสนานและร่าเริงที่อย่างมากที่สุด ปีจะมีแบบนี้พร้อมหน้าพร้อมกันครั้งหนึ่งซึ่งไม่มีวันลืมเลือนไปได้เลยทีเดียว

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนทางเหนือหรือที่อื่นที่ไม่มีทะเลเมื่อได้ไปเที่ยวภาคตะวันออกหรือภาคใต้นั่นก็คือ ทะเล ครับ ทะเล สิ่งนี้คือความใฝ่ฝันอีกอย่างของลูกสาวคนสวยว่าไปหาย่าแล้วพ่อต้องพาไป เที่ยวทะเลให้ได้จะได้เล่นน้ำให้ฉ่ำใจซะที ก็ต้องสนองความต้องการกันหน่อย ทะเลส่วนใหญ่ที่พาเขาไปเที่ยวก็จะเป็นที่ระยองนั่นแหละ แหลมแม่พิมพ์ , บ้านเพ , สวนสน , หาดแม่รำพึง แบบนี้ ดูเขาเล่นแล้วก็ชื่นใจครับ เอาเป็นว่าถ้าไม่เรียกขึ้นมาหรือหิวข้าวเองแล้วไม่ยอมขึ้นเด็ดขาดจนตัวของเธอที่คุณย่าบอกว่าผิวคล้ายๆ กันคือ(ค่อนข้าง)คล้ำนั้นกลับกลายเป็น(ค่อนข้าง)ดำไปถนัดตาเลยทีเดียว ไม่ว่ากันครับแบบนี้นานทีปีหนให้เขาเล่นให้หนำใจ เราเป็นพ่อเป็นแม่คอยดูแลความปลอดภัยให้เขาเท่านั้น จากทะเลก็พาเขาไปวัดเขาสุกิมที่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งแต่เดิมนั้นหลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ปัจจุบัน ท่านมรณภาพไปแล้วคงเหลือทิ้งไว้แต่คุณงามความดีและสิ่งที่ท่านสร้างคุณประโยชน์อเนกอนันต์ให้อนุชนรุ่นหลังได้น้อมรำลึกถึง ลูกสาวได้ถ่ายภาพไว้เยอะเลยทีเดียว บอกว่าเปิดเทอมจะเอาไปอวดเพื่อน ก็คงประมาณจะโม้ให้เพื่อนๆ ฟังนั่นแหละครับ

ที่บ้านคุณแม่ ถ่ายที่่อนุสาวรีย์สุนทรภู่ ภาพนี้ที่หาดแหลมแม่พิมพ์ อำเภอแกลง ที่หาดแม่รำพึง อำเภอเมือง ระยอง ตลาดบ้านเพ อำเภอเมือง ระยอง ที่วัดเขาสุกิม อำเภอท่าใหม่ จันทบุรี ภายในวัดเขาสุกิม คนกลางคือภรรยาผม ส่วนเด็กเสื้อแดงเป็นหลานครับชื่อน้องฟ้า ถ่ายที่แหลมแม่พิมพ์ ระหว่างรอลูกเล่นน้ำทะเล

ครับ ช่วงลาพักผ่อนปีนี้ถือว่ามีความสุขมาก ได้พบปะพร้อมหน้าพร้อมตาระหว่างคุณแม่,ตัวผมเอง,ภรรยาและก็ลูกสาวคนสวย ทำให้มีพลังในการทำงานเพิ่มมากขึ้นเป็นกอง ตอนนี้กลับมาแล้วคิดว่าจะสามารถทำงานพิทักษ์รับใช้พี่น้องประชาชนชาวอำเภอพานอันเป็นที่รักได้อย่างเต็มที่เพื่อความผาสุกของทุกคน

และในโอกาสที่จะถึงวันตำรวจ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๑ นี้ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลพิภพโปรดดลบันดานประทานพรให้พี่น้องทุกคนจงประสบแต่ความสุข สมหวังในสิ่งอันพึงปรารถนาและแคล้วคลาดจากอุบัติภัยอันตรายต่างๆ มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยทั่วกัน สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนก็จะตั้งใจปฏิบัติภาระหน้าที่ในความรับผิดชอบอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่ประชาชนและพร้อมยืมเคียงข้างพี่น้องตลอดไปครับ

จากใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร่วมตั้งจุดตรวจกับเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยบริการประชาชนตำบลแม่เย็น (๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓)

วันนี้ตั้งแต่เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น.ผมเดินทางไปร่วมตั้งจุดตรวจกับเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำหน่วยบริการประชาชนตำบลแม่เย็นซึ่งนำโดย ร.ต.ท.รุ่ง สุวรรณฉัตรศิริ รอง สวป.กับพวกรวม ๗ คนบริเวณหน้าจุดตรวจตามแผนการตรวจประจำวันซึ่งเป็นไปตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการให้การบริการพี่น้องประชาชนและสกัดกั้น,จับกุมผู้กระทำผิดและให้บริการพี่น้องประชาชน








การตั้งจุดตรวจของพวกเราในครั้งนี้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ครบถ้วนทุกประการ อาทิเช่น
๑. มีนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรทำหน้าที่หัวหน้าจุดตรวจ
๒. จุดตรวจเป็นเส้นตรงพี่น้องประชาชนที่ผ่านไปมาสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลได้ชัดเจน
๓. ไม่เป็นที่เกะกะกีดขวางการจราจร
๔. มีการจัดทำป้ายแสดงยศ ชื่อ ชื่อสกุลของหัวหน้าจุดตรวจและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายซึ่งเห็น ได้ชัดเจนในระยะไม่น้อยกว่า ๑๕ เมตร เป็นต้น




ผมอยู่ร่วมในการตั้งจุดตรวจคืนนี้จนถึงเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น.จึงเดินทางไปปฏิบัติำภารกิจที่อื่นต่อไป

ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยบริการประชาชนตำบลแม่เย็น (๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓)

เวลาประมาณ ๑๕.๐๐ น.ของวันนี้ผมเดินทางไปตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยบริการประชาชนตำบลแม่เย็นพบ ร.ต.ท.รุ่ง สุวรรณฉัตรศิริ รอง สวป.กับพวกรวม ๔ คนอยู่ปฏิบัติหน้าที่รายงานเหตุการณ์ทั่วไปปกติ










การตรวจเยี่ยมครั้งนี้ได้แจ้งแนวคิดและข้อสั่งการไว้ในลักษณะเดียวกันกับการตรวจหน่วยบริการประชาชนช่วงเช้าของวันนี้



เจ้าหน้าที่รับทราบ

ประชุมและตรวจการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยบริการประชาชน (๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๓)

วันนี้ตั้งแต่เวลาประมาณ ๑๐.๐๐-๑๒.๐๐ น.ผมพร้อมกับ พ.ต.ท.อนุพนธ์ สนิท รอง ผกก.ป.และ ร.ต.ท.เกรียงศักดิ์ มณีจันสุข รอง สวป.ได้เดินทางไปประชุมและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยบริการประชาชนตำบลหรือตู้ยามดังนี้

หน่วยบริการประชาชนตำบลเจริญเมือง
















(สภาพระหว่างเ้ดินทางไปหน่วยบริการประชาชนตำบลธารทอง)


หน่วยบริการประชาชนตำบลธารทอง













หน่วยบริการประชาชนตำบลทรายขาว














(สภาพเส้นทางระหว่างเดินทางจากหน่วยบริการประชาชนตำบลทรายขาวไปยังหน่วยบริการประชาชนตำบลสันติสุข)



หน่วยบริการประชาชนตำบลสันติสุข















การประชุมและตรวจเยี่ยมการปฏิบัติในครั้งนี้นอกจากรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง อุปสรรคในการปฏิบัีติหน้าที่และชี้แนะแนวทางในการแก้ไขหรือดำเนินการในเรื่องที่ได้รับทราบแล้วยังได้แจ้งแนวคิดและข้่อสั่งการแก่เจ้าหน้าที่หน่วยบริการประชาชนทั้ง ๔ แห่งมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

๑. การทำงานในหน้าที่ของตำรวจเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งตู้ยามหรือหน่วยบริการ ประชาชนอย่างหนึ่งก็คือการออกพบปะเยี่ยมเยียน พูดคุย สอบถามสารทุกข์สุกดิบจากพี่น้องประชาชน จึงขอให้ใช้เวลาเท่าที่จะสามารถทำได้ออกพบปะเยี่ยมเยียนด้วย

๒. ให้ถือหลักการที่ว่า "วิสสาส ปรมา ญาติ" หรือ "ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง" เพราะหากตำรวจเราสามารถคุ้นเคยหรือเข้ากับพี่น้องประชาชนได้แล้วจะมีอีก หลายๆ อย่างตามมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องข้อมูลข่าวสารที่สำคัญๆ

๓. การเป็นตำรวจจะทอดทิ้งพี่น้องประชาชนไม่ได้ หากเรามีพี่น้องอยู่ในใจของเรามากเท่าไรความสำเร็จในงานก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น

๔. พี่น้องประชาชนนั้นถือว่าเป็นญาติสนิทยิ่งของตำรวจ เพราะฉะนั้นตำรวจเราจะห่างเหินจากการพบปะเยี่ยมเยียนไม่ได้ ต้องหาเวลาเท่าที่จะสามารถทำได้ออกพบปะพี่น้องอย่างสม่ำเสมอ

๕. ไม่ว่ายศตำแหน่งของตำรวจจะเป็นอย่างไรนั่นเป็นเพียงส่วนภายในปลีกย่อยของ ตำรวจ จะต้องถือว่าพี่น้องประชาชนทุกคนใหญ่และสำคัญกว่าตำรวจเราเสมอ

เจ้าหน้าที่รับทราบ