วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อที่อำเ้ภอแกลง ระยอง (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓)

สวัสดีทุกท่าน พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา ครับผม

กลับมาแล้วครับกับการเดินทางไปทำบุญอุทิศส่วนให้คุณพ่อเนื่องในโอกาสครบรอบวันเสียชีวิตซึ่งคุณแม่,พี่ น้องและลูกหลานจะทำบุญแบบนี้ทุกปีที่บ้านเกิด บ้านพังราด หมู่ที่ ๔ ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งนอกจากจะเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อแล้วยังเป็นการรวมญาติลูกๆ หลานๆ พร้อมหน้าพร้อมกันตาในแต่ละปีอีกด้วยเพราะลูกๆ หลานๆ ของคุณแม่ส่วนใหญ่ต่างแยกครอบครัวไปอยู่ต่างที่ต่างถิ่นกันเกือบหมดเหลืออยู่เพียงลูกสาวคนที่ ๔ และลูกของเธออยู่กับคุณแม่เท่านั้น คุณแม่มีลูก ๗ คนครับ ผมเป็นคนที่ ๒ ส่วนหลานมีรวมกันทั้งหมด ๑๑ คน แต่ละปีในช่วงทำบุญคุณแม่ดูจะมีความสุขมากเป็นพิเศษที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ปีนี้ก็เช่นกันไปเกือบครบทุกคน เมื่อกลับมาแล้วผมก็ขออนุญาตบันทึกเรื่องราวในครั้งนี้ไว้หน่อยว่ามีอะไรบ้าง ตามผมมาเลยครับ



วันออกเดินทาง

ผมออกเดินทางไประยองเย็นวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๓ กับรถโดยสารสายเชียงราย-กรุงเทพ ออกจากพะเยาเวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น.ปีนี้ไปคนเดียวเพราะลูกสาวเปิดเทอมแล้ว ส่วนคุณแม่เขาก็ต้องอยู่ดูแลหลานสาวอีกคนหนึ่งที่มาอยู่ด้วยซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.๒ โรงเรียนพะเยาพิทยาจึงไปไม่ได้ในปีนี้ ไปถึงกรุงเทพโดยรถจอดที่หมอชิตเวลาประมาณ ๐๕.๓๐ น.ของวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงหมอชิตก็ตีรถสายกรุงเทพ-จันทบุรีกลับบ้าน เหตุที่ไม่ได้ไปสายระยองสำหรับหลายๆ ท่านที่อาจจะสงสัยเพราะบ้านผมอยู่อำเภอแกลงซึ่งตอนนี้มีถนนสายมอเตอร์เวย์และถนนสายบ้านบึง (ชลบุรี) - แกลงตัดผ่านไม่ต้องเข้าตัวเมืองระยองเหมือนสมัยผมเป็นเด็กๆ ที่ตอนนั้นกว่าจะเข้ากรุงเทพแต่ละครั้งใช้เวลานานมากประมาณ ๖-๗ ชั่วโมงเห็นจะได้เพราะพอออกจากอำเภอแกลงก็จะต้องเข้าระยอง ไปสัตหีบ พัทยา เรื่อยไปตามเส้นทางสายเก่าไม่เหมือนสมัยนี้ที่ใช้เวลาแป๊บเดียว ผมออกเดินทางจากหมอชิตเวลาประมาณ ๐๖.๓๐ น.ตามเส้นทางที่บอกนั่นแหละ ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่งก็ถึงทางเข้าบ้านผมซึ่งเลยตัวอำเภอแกลงไปทางด้านจันทบุรีประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ลงตรงปากทางที่บ้านสุขไพรวัน ตำบลกองดิน บ้านผมอยู่ในเข้าไปทางด้านทิศใต้ประมาณ ๕ กิโลเมตร วันนั้นน้องเขยเอารถมารับครับ ไปถึงบ้านคุณแม่เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ น.

ที่บ้านคุณแม่ ณ เวลาที่ผมไปถึงนั้นมีน้องสาวคนที่อยู่กับคุณแม่พร้อมลูกชายของเธอและเพื่อนๆ อยู่กัน ๓-๔ คน ส่วนพี่และน้องคนอื่นและลูกๆ ของเขายังไปไม่ถึงรวมทั้งคุณด้วยเพราะคุณแม่ป่วยจะต้องเข้ารับการฟอกไตอาทิตย์ละ ๓ ครั้งในวันอังคาร,พฤหัสและวันเสาร์ที่โรงพยาบาลระยอง ใช้เวลาฟอกครั้งละประมาณ ๓ ชั่วโมง และเนื่องจากคุณแม่จะต้องเข้าโรงพยาบาลวันเว้นวัน (เป็นเวลากว่า ๔ ปีเข้าให้แล้ว) เพื่อความสะดวกน้องชายคนสุดท้ายของผมซึ่งตั้งรกรากมีครอบครัวที่ตำบลตะพง อำเภอเมืองระยองเลยรับไปอยู่ด้วยและคุณแม่จะกลับบ้านก็ช่วงวันเสาร์เป็นแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่คุณแม่ป่วยนั่นแหละครับ



บ้านของคุณแม่เป็นแบบชนบทดั้งเดิมคือบ้านไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง ภายในบ้านจะเป็นที่โล่งๆ เสียส่วนใหญ่มีห้องเพียงเดียวเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้เก็บของต่างๆ ที่โล่งๆ นั้่นจะใช้ในการพักผ่อนหลับนอนกันซึ่งที่บ้านส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้แทบทั้งนั้น การพักผ่อนหลับนอนเวลามาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากถือว่าเป็นความสุขอย่างยิ่งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันเหมือนสมัยเป็นเด็กๆ ที่ผมกับพี่และน้องเวลานอนจะนอนเรียงกันเป็นแถวทำให้บ้านที่ดูค่อนข้างก้วางขวางดูเล็กไปถนัด แต่ตอนหลังแม่อยู่กับน้องและหลานก็กลายเป็นโหลงเหลงไปเลย ใต้ถุนก็จะใช้เก็บข้าวของเครื่องใช้บางอย่างที่เมื่อก่อนนั้นมีมากไม่ว่าจะเป็นถ่านที่คุณพ่อใช้ไม้โกงกางเผาและเมื่อถ่านมาแล้วก็เก็บไว้ที่นี่รวมถึงเครื่องมือการเกษตรหรือที่ใช้ในการทำเกษตรไม่ว่าจะุเป็นจอบ คราด กระบุง ฯลฯ จิปาถะเลยทีเดียว แต่ตอนหลังของพวกนี้แทบจะไม่มีให้เห็นแล้วก็เลยกลายเป็นที่โล่งๆ ไป



ไปถึงบ้านเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็พักผ่อนสักครู่พอช่วงบ่ายๆ ยังไม่มีใครไปถึงก็ใช้เวลานั้นเดินทางไปดูโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนสมัยชั้นประถมคือโรงเรียนวัดพังราดที่อยู่ห่างจากบ้านคุณแม่ประมาณ ๕๐๐ เมตร โรงเรียนนี้ผมเรียนสมัยชั้นประถมปีที่ ๑-๔ และโรงเรียนวัดเกาะลอยห่างจากบ้านประมาณ ๒ กิโลเมตรเศษที่ผมเรียนสมัียชั้นประถมปีที่ ๕-๗ ทั้ง ๒ โรงเรียนไม่เหลือสภาพเดิมไว้แล้วรูปแบบโครงการของตัวอาคารเป็นแบบแปลนสมัยใหม่ที่เหมือนกันเกือบทั่วประเทศในเวลานี้นั่นเอง นึกถึงภาพสมัยเก่าๆ ก็ยังรู้สึกเสียดายไม่หายที่ไม่ค่อยได้ถ่ายภาพกันไว้ ส่วนภาพที่เคยถ่ายไว้ก็หายไปไหนไม่รู้เหมือนกัน จึงมีแต่เพียงภาพยุคปัจจุบันมาฝาก



ไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าเสร็จเวลาราวๆ บ่้าย ๓ ก็เดินทางกลับไปบ้านคุณแม่ซึ่งตอนนั้นพี่ น้องๆ และหลานทยอยกันเดินทางมาถึงบ้างแล้ว อีกสักพักหนึ่งคุณแม่ก็เดินทางมาถึงพร้อมกับน้องชายคนสุดท้าย ไหว้คุณแม่พูดคุยโอภาปราศัยกันสักพักก็ชวนกันไปตลาดเื่้พื่อไปซื้ออาหารและข้าวของเตรียมไว้ทำบุญในวันรุ่งขึ้น พวกเราใช้เวลาซื้อข้าวของต่างๆ จนถึงเวลาราวๆ ๕ โมงเย็นก็เสร็จเมื่อได้ของครบแล้วก็นำไปเก็บไว้ที่วัดพังราดซึ่งอยู่ห่างบ้านราวๆ ๒๐๐ เมตร (อยู่ติดกับโรงเรียนวัดพังราด) เหตุที่ต้องเอาของไปไว้ที่วัดเพราะปีนี้คุณแม่บอกว่าจะทำบุญที่วัดนั่นแหละ (ตามปกติทุกปีที่ผ่านมาเราจะทำบุญที่บ้าน) คุณแม่บอกว่าทำบุญที่วัดสะดวกกว่าเพราะถ้วยชามแล้วก็ของต่างๆ เวลาทำบุึญก็ต้องไปยืมจากวัดมา ทีนี้เพื่อความสะดวกก็จะทำที่วัดเสียเลยจะดีกว่า คุณแม่ว่าไงพวกเราลูกๆ หลานๆ ก็เอาตามนั้นหมดครับ




เมื่อเอาข้าวของที่เตรียมไปไว้ที่วัดหมดแล้วพวกเราก็เดินทางกลับไปที่บ้านคุณแม่ คราวนี้มากันครบหมดทุกคนเลยครับลูกหลาน เต็มบ้านเลยทีเดียว จากบ้านที่เหลือเพียง ๓ คนตอนนี้มีเกือบ ๒๐ ทำเอาคุณแม่ยิ้มหน้าตาสดชื่นมากเลย พวกเราที่นานๆ ได้เจอกันทีก็ถือโอกาสนี้พูดคุยสารทุกข์สุกดิบกัน พูดกันไป ทำอาหารไปด้วย ทานไปด้วยจนเวลาผ่านไปเกือบๆ จะเที่ยงคืนก็เข้านอนพักผ่อนเอาแรงไว้ทำบุญในวันพรุ่งนี้ แล้วก็การนอนก็อย่างที่บอกตอนแรกนั่นแหละครับว่าใช้พื้นที่โล่งๆ กลางบ้านนั่นแหละเป็นที่นอน ทีนี่พวกเราต่างคนต่างมีครอบครัวมีลูกกันทั้งนั้น ครั้นจะนอนแบบเก่าก็ไม่ได้ก็เลยใช้เวลานอนครอบครัวใครครอบครัวมันใช้มุ้งกางกันครอบครัวละหัว ดูแล้วสดชื่นดีเหมือนกัน เหมือนกันไปกางเต็นท์นอนตากอากาศที่ใดที่หนึ่งก็ไม่ปานแล้วก็คืนนั้นพวกเราทุกคนนอนหลับกันอย่างมีความสุขที่สุดในโลกเลยคืนหนึ่งทีเดียวครับ




<< มีต่อตอนต่อไปครับ >>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น