ช่วงที่นั่งเขียนบทความอยู่นี้ผมอยู่ที่หน่วยบริการประชาชนหรือตู้ยามตำบลแม่เย็นเพื่อให้การบริการพี่น้องประชาชนตามปกติ แต่ช่วงนี้แทบไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพราะส่วนหนึ่งน้องๆ ตำรวจเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขาแล้วที่ผมต้องเข้าจัดการดำเนินการแทบไม่มีก็เลยค้นหาข้อมูลหรือเรื่องราวเก่าๆ ที่ผมเคยบันทึกหรือนำลงเผยแพร่ไว้ในโลกไซเบอร์ซึ่งมีมากมายเลยทีเดียว ทำให้ได้ความคิดว่าที่ทำไปนั้นไม่เสียหลายเพราะอย่างน้อยตัวเองก็สามารถฟื้นความหลังครั้งที่ผ่านมาได้ว่าวันนั้น วันนี้ วันนู้นทำอะไรไปบ้าง แล้วก็มีอยู่เรื่องหนึ่งครับเรื่องนี้ผมนำออกเผยแพร่ไว้เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ดูแล้วอ่านแล้วก็ให้ภาคภูมิใจถึงเรื่องราวดีๆ ของตำรวจ สภ.พานคนหนึ่งของเราจึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่อีกครั้งหนึ่งในช่วงเย็นนี้ เรื่องราวเป็นอย่างไรติดตามได้เลยขอรับพี่น้อง
ตำรวจดีศรีเมืองพาน (๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑)
"แม่ค้า (พ่อค้า) ก๋วยเตี๋ยวเนื้อน้ำตก ๒ ถ้วยเน้อ.....ส่วนของน้องขอเป็นน้ำใสเส้นหมี่เน้อเจ๊า...." "เจ๊า (ครับ ) รอกำนะเจ๊า......ได้แล้วเจ๊า......บ่ฮู้จะเอาหยังเพิ่มก่อครับ......"เสียงสั่งซื้อและภาพพ่อค้าแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ริมถนน ห้างสรรพสินค้าหรือที่ไหนๆ ก็ตาม คงจะเป็นภาพที่ทุกท่านคุ้นตากันเป็นอย่างดี อาชีพนี้เป็นอาชีพที่สุจริต และสร้างรายได้ที่ดีพอสมควร แต่ก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายกว่าจะได้เงินมาในแต่ละวัน ภาพคุ้นๆ ตาแบบนี้มีอยู่แทบทุกที่ ทุกแห่ง ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน เนื่องจากอาจจะถือได้ว่าเป็นอาหารที่ทานง่ายๆ สบายๆ และอิ่มอร่อยคุ้มค่ากับราคาที่ไม่แพง บางคนทาน ๒-๓ ถ้วยในแต่ละครั้งก็มี ลูกค้าเพลิดเพลินอิ่มอร่อยไปกับสิ่งของที่อยู่ในถ้วย ส่วนพ่อค้าแม่ค้านั่นเล่า หน้าตาก็เบิกบานยิ้มแย้มไปกับการเรียกใช้บริการของลูกค้าที่แทบทุกคนมีเจ้าประจำเป็นของตัวเอง เรียกได้ว่าทานกันไป ทำกันไปจนเสบียงกรังที่เตรียมมาหมดไม่รู้ตัวในแต่ละวันหรือแต่ละคืนลูกค้าเมื่อสั่งและทานเสร็จและจ่ายสตางค์แล้วต่างคนต่างก็พากันแยกย้ายไป คงเหลือถ้วย ช้อน แก้วน้ำไว้ให้เจ้าของร้านหรือลูกจ้างทำหน้าที่เก็บ กวาดล้าง เช็ดถู เพื่อบริการลูกค้ารายอื่นต่อจวบจนกระทั่งขายหมดก็เก็บรวบรวมไว้ที่บ้านเพื่อนำมาขายในวันรุ่งขึ้น
ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่เห็นจนชินตาและเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสังคมจนมองเป็นเรื่องปกติธรรมดาแต่จากเรื่องที่มองเห็นจนชินตาและเป็นเรื่องปกติธรรมดานั้นหากท่านเดินทางไปแถวๆ ตลาดเทศบาลตำบลเมืองพาน และมีโอกาสแวะทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นโกเด้งข้างทางฝั่งทิศตะวันตกใกล้สถานีตำรวจภูธรอำเภอพานประมาณ ๑๕๐ เมตรท่านคงจะรู้สึกแปลกตาไม่น้อยเมื่อเจ้าของ (หรือที่หลายๆ คนตั้งฉายาให้เองว่า "ลูกมือ") ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาที่มีอาชีพค้าขายโดยตรง แต่กลับกลายเป็นเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่เวลาปกติก็ต้องทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ด้วยการเป็นตำรวจจราจรคอยอำนวยความสะดวกแก่รถรายวดยานพาหนะต่างๆ หรือให้บริการเด็กเล็กเด็กน้อยข้ามถนนเวลาโรงเรียนจะเข้าในตอนเช้าหรือเลิกเรียนในเวลาเย็น
"เขา" คนนี้คือ "ลุงดาบ" ของเด็กเล็กๆ "เขา" คนนี้คือ "อ้าย(พี่)" หรือ "น้อง" ของหนุ่มน้อยสาวน้อยและพี่น้องเมืองพานที่รู้จักกันดี จากอัธยาศัยไมตรีอันดี ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลาทำงานไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อย ร้อนหรือหนาวปานใดก็ตามทำให้เวลาไปไหนมาไหนจะพบกับรอยยิ้มต้อนรับจากคนทั่วไป โดย "เขา" ผู้นี้ที่คอยทำหน้าที่เป็น "ลูกมือ" ให้ภรรยาเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยว,น้ำ,น้ำแข็งให้แขกที่มาอุดหนุนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม อิ่มเอิบ เบิกบานสร้างความประทับใจแก่ผู้พบเห็นและผ่านไปมาเป็นอย่างยิ่ง "เขา" คนนี้คือ ดาบตำรวจพิทักษ์ ทิพย์ศรี ผู้บังคับหมู่งานจราจรสถานีตำรวจภูธรพานนั่นเอง
"พื้นเพดั้งเดิมของผมเป็นคนบ้านสันต้นผึ้ง หมู่ที่ ๘ ตำบลแม่ปืม อำเภอพะเยา จังหวัดเชียงราย ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นอำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา เกิดเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๐๐ อายุถึงตอนนี้ก็ ๕๐ ปีแล้ว" ด.ต.พิทักษ์ฯ เล่าให้บรรณาธิการฟัง "เมื่อวัยเด็กผมมีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นตำรวจ เพราะนอกจากเป็นอาชีพที่มีเกียรติแล้ว ยังสามารถให้บริการพี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยเมื่อผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จากโรงเรียนพินิตประสาธน์ อำเภอเมืองพะเยาแล้วก็สอบเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจที่โรงเรียนตำรวจภูธร ๕ ได้สมใจ เมื่อเรียนจบแล้วได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นลูกแถวประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอพานในปี พ.ศ.๒๕๒๒๓ งานครั้งแรกที่ทำก็คืองานสืบสวน ทำได้ประมาณ ๗-๘ เดือนก็ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่จราจรเมื่อประมาณต้นปี ๒๕๒๔ แล้วก็อยู่ในหน้าที่นี้ตลอดเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นเวลาถึง ๒๖ ปีเศษแล้วครับ"
"งานในหน้าที่ของผมเหรอครับ" ด.ต.พิทักษ์ฯเล่าต่อ "ก็จะหนักไปในด้านการให้บริการพี่น้องประชาชน , อบรมให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎจราจรทั้งแก่พี่น้องและเด็กนักเรียน ซึ่งก็รวมไปถึงการบังคับใช้กฎหมายอีกส่วนหนึ่งด้วย ถ้าจะถามว่าเป็นงานที่หนักหรือไม่ จะตอบว่าหนักก็ใช่แต่ก็ไม่เชิง คือเป็นงานในหน้าที่ที่ผมภูมิใจและเต็มใจที่จะทำ เรียกว่าแม้จะหนักหรือเหนื่อยเพียงใดก็ตาม เมื่องานเสร็จแล้ว พักสักครู่ก็หายเป็นปลิดทิ้งน่ะครับ สิ่งที่เหลือก็คือความภาคภูมิใจครับที่ได้ทำงานในหน้าที่นี้"
"งานในหน้าที่จราจรของผมเริ่มตั้งแต่เช้าของทุกวันทำการ คือผมจะตื่นนอนประมาณตีสี่ ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ตีห้าก็จะมาเข้าจุดตามที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการไว้ เช่น บางวันอาจจะเป็นการให้บริการแถวๆ หน้าตลาดเมืองพาน , ตลาดหกแยก , จุดที่มีปริมาณการจราจรพลุกพล่าน รวมไปถึงหน้าโรงเรียนต่างๆ ด้วย ส่วนบางวันก็อาจจะต้องมาเข้าเวรประจำศูนย์จราจร เพื่อทำหน้าที่คล้ายๆ กับพนักงานวิทยุสื่อสาร รับแจ้งเหตุ รับรายงานเหตุต่างๆ ที่เกี่ยวกับการจราจรบ้าง งานในช่วงเช้าจะเสร็จสิ้นไปเมื่อเวลาประมาณ ๐๘.๓๐-๐๙.๐๐ น. เสร็จแล้วก็พักสักครู่ ที่นี้วันไหนที่ผู้บังคับบัญชากำหนดให้มีการตั้งจุดตรวจราจรก็จะต้องทำหน้าที่นี้ การตั้งจุดตรวจแทบทุกครั้งส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาระหว่าง ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. แต่บางวันอาจจะเป็นเวลาอื่น ส่วนช่วงบ่ายก็ออกให้บริการการจราจรตามจุดต่างๆ คล้ายๆ กับในช่วงเช้าจนงานเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น.ของแต่ละวัน ซึ่งผมและพี่น้องตำรวจจราจรทำหน้าที่นี้ด้วยความเต็มใจและภูมิใจครับ"
"ผมภูมิใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างมาก" ด.ต.พิทักษ์ฯ พูดให้ฟังต่อด้วยรอยยิ้ม "หลักการทำงานของผมก็คือ มีหน้าที่ที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายอย่างไรให้ทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งผมภูมิใจมากที่การปฏิบัติหน้าที่ของผมได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาในการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษหรือที่หลายๆ คนเรียกกันติดปากว่า ๒ ขั้นหลายครั้งด้วยกัน โดยในปีนี้ (๒๕๕๐) ช่วงครึ่งปีแรก (เมษายน ๒๕๕๐...ผู้เขียน) ผมเป็นหนึ่งในจำนวนข้าราชการตำรวจชั้นประทวน ๑๙ คนที่ได้รับการเลื่อนเงินเดือน ๑ ขั้นจากเจ้าหน้าที่ระดับเดียวกันประมาณ ๑๕๐ คน นั่นคือกำลังใจอันวิเศษสุดสำหรับผมและครอบครัว ซึ่งก็ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้บังคับบัญชาทุกท่านที่กรุณาผม"
ที่นี้ก็เข้าสู่เรื่องสำคัญในครั้งนี้คือเรื่องการขายก๋วยเตี๋ยวเป็นอาชีพเสริมซึ่ง ด.ต.พิทักษ์เล่าให้ฟังว่า"ผมมาอยู่เมืองพานได้สักพักหนึ่งก็แต่งงานมีครอบครัว โดยภรรยาของผมชื่อนางอำไพ ทิพย์ศรี เป็นคนอำเภอพานนี่เองครับ ผมกับภรรยาอยู่กินกันมาได้ประมาณ ๒๕ ปีเศษแล้ว ปัจจุบันมีลูกด้วยกัน ๒ คน คือนายพินิจพงษ์ ทิพย์ศรี อายุ ๒๓ ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลทรายขาว อำเภอพานนี่เองครับ ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าชั้นปีที่ 2 อีกคนหนึ่งชื่อนางสาวพัทธมน ทิพย์ศรี อายุ ๒๐ ปี เรียนอยู่ที่เดียวกัน สาขาการจัดการ ชั้นปีที่ ๑ ทีนี้ลูกผมทั้งสองคนก็เติบโตและอยู่ในระหว่างการศึกษาที่จะต้องพึ่งพาพ่อแม่เป็นหลัก ในส่วนของผมก็รับเงินเดือนเดือนละ ๑๖,๖๕๐ บาท บวกเงินค่าตอบแทนอีก ๓,๐๐๐ เดือนหนึ่งก็ตกอยู่แค่ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนภรรยาก็มีอาชีพรับจ้างทั่วไป เช่น การเย็บปักถักร้อย ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะมีงานเข้ามาไหม ถ้ามีก็ถือว่าโชคดีที่มีรายได้เพิ่มจากส่วนที่ผมมีอยู่ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคิดคำนวณรายได้ของผมและภรรยาที่ได้รับมาแล้วคงจะไม่พอในการส่งเสียลูกเรียนหนังสือรวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกจิปาถะ ก็เลยปรึกษากัน ซึ่งก็ถือว่าพอจะเป็นโชคดีของผมที่ภรรยามีฝีมือในด้านการทำอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งก๋วยเตี๋ยวที่ผมคิดว่าเป็นอาหารประจำที่ถูกปากคนไทยและหาลูกค้าได้ง่ายๆ ก็เลยคิดจะทำอาชีพนี้เป็นอาชีพเสริมกันดู ประจวบเหมาะกับนักการภารโรงของ สภ.อ.พานชื่อคุณมงคล ยะแดง หรือที่ตำรวจจะเรียกกันติดปากว่า "นักการเบิ้ม" ที่ก่อนหน้านี้เคยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวโกเด้งที่หน้าตลาดอำเภอพานใกล้โรงพักประมาณ ๒๐๐ เมตรเขาจะเลิกกิจการเนื่องจากไม่มีเวลาเพียงพอ ผมก็เลยไปขอเซ้งต่อจากนักการเบิ้มคนนี้ โดยใช้จุดเดิมและเจ้าเดิมนั่นเอง ผมกับภรรยาเริ่มขายก๋วยเตี๋ยวโกเด้งนี้มาตั้งแต่ประมาณต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา โดยให้ภรรยาเป็นผู้ปรุง สำหรับผม...ก็เป็นลูกมือให้แฟนครับ" ด.ต.พิทักษ์ฯ พูดด้วยความภูมิใจ
ที่นี้ก็เข้าสู่เรื่องสำคัญในครั้งนี้คือเรื่องการขายก๋วยเตี๋ยวเป็นอาชีพเสริมซึ่ง ด.ต.พิทักษ์เล่าให้ฟังว่า"ผมมาอยู่เมืองพานได้สักพักหนึ่งก็แต่งงานมีครอบครัว โดยภรรยาของผมชื่อนางอำไพ ทิพย์ศรี เป็นคนอำเภอพานนี่เองครับ ผมกับภรรยาอยู่กินกันมาได้ประมาณ ๒๕ ปีเศษแล้ว ปัจจุบันมีลูกด้วยกัน ๒ คน คือนายพินิจพงษ์ ทิพย์ศรี อายุ ๒๓ ปี เรียนอยู่มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา วิทยาเขตเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลทรายขาว อำเภอพานนี่เองครับ ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าชั้นปีที่ 2 อีกคนหนึ่งชื่อนางสาวพัทธมน ทิพย์ศรี อายุ ๒๐ ปี เรียนอยู่ที่เดียวกัน สาขาการจัดการ ชั้นปีที่ ๑ ทีนี้ลูกผมทั้งสองคนก็เติบโตและอยู่ในระหว่างการศึกษาที่จะต้องพึ่งพาพ่อแม่เป็นหลัก ในส่วนของผมก็รับเงินเดือนเดือนละ ๑๖,๖๕๐ บาท บวกเงินค่าตอบแทนอีก ๓,๐๐๐ เดือนหนึ่งก็ตกอยู่แค่ประมาณ ๒๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนภรรยาก็มีอาชีพรับจ้างทั่วไป เช่น การเย็บปักถักร้อย ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะมีงานเข้ามาไหม ถ้ามีก็ถือว่าโชคดีที่มีรายได้เพิ่มจากส่วนที่ผมมีอยู่ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคิดคำนวณรายได้ของผมและภรรยาที่ได้รับมาแล้วคงจะไม่พอในการส่งเสียลูกเรียนหนังสือรวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกจิปาถะ ก็เลยปรึกษากัน ซึ่งก็ถือว่าพอจะเป็นโชคดีของผมที่ภรรยามีฝีมือในด้านการทำอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งก๋วยเตี๋ยวที่ผมคิดว่าเป็นอาหารประจำที่ถูกปากคนไทยและหาลูกค้าได้ง่ายๆ ก็เลยคิดจะทำอาชีพนี้เป็นอาชีพเสริมกันดู ประจวบเหมาะกับนักการภารโรงของ สภ.อ.พานชื่อคุณมงคล ยะแดง หรือที่ตำรวจจะเรียกกันติดปากว่า "นักการเบิ้ม" ที่ก่อนหน้านี้เคยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวโกเด้งที่หน้าตลาดอำเภอพานใกล้โรงพักประมาณ ๒๐๐ เมตรเขาจะเลิกกิจการเนื่องจากไม่มีเวลาเพียงพอ ผมก็เลยไปขอเซ้งต่อจากนักการเบิ้มคนนี้ โดยใช้จุดเดิมและเจ้าเดิมนั่นเอง ผมกับภรรยาเริ่มขายก๋วยเตี๋ยวโกเด้งนี้มาตั้งแต่ประมาณต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา โดยให้ภรรยาเป็นผู้ปรุง สำหรับผม...ก็เป็นลูกมือให้แฟนครับ" ด.ต.พิทักษ์ฯ พูดด้วยความภูมิใจ
"ผมทำทุกอย่างที่ไม่ใช่เรื่องปรุงตั้งแต่ขายขนถ้วย ขนช้อน ขนแผง และทุกอย่างที่สามารถทำได้ รวมไปถึงเป็นเด็กเสิร์ฟอีกด้วย ผมทำได้หมดครับ ยิ่งเห็นลูกค้ามีความสุข อิ่มอร่อยกับการทานด้วยแล้ว หายเหนื่อยครับ บางวันที่ลูกชายกับลูกสาวผมเลิกเรียนแล้วพอมีเวลาว่าก็จะมาช่วยอีกแรงหนึ่งครับ"
"ถ้าถามว่ามีรายได้ดีไหม" ด.ต.พิทักษ์ฯ หยุดคิดนิดหนึ่ง "ก็พอสมควรครับ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะใช้เลี้ยงครอบครัวส่งลูกเรียนหนังสือได้อย่างสบายๆ บวกกับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยงของผมและของแฟนก็พออยู่ได้ครับ ผมคิดว่าคงจะทำอาชีพเสริมนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว ผมภูมิใจครับ" "ผมมาช่วยเป็นลูกมือให้แฟนเวลาก็ประมาณซัก ๑๗-๑๘.๐๐ น.ของทุกวัน คือหลังจากที่ผมเลิกหรือเสร็จจากภารกิจหน้าที่ประจำวันแล้วก็มาช่วยเขาจนถึงเวลาเลิกซึ่งจะตกประมาณเที่ยงคืนเศษๆ เสร็จแล้วก็ช่วยกันเก็บข้าวของเครื่องใช้กลับบ้าน แล้วพักผ่อนหลับนอนจนกระทั่งถึงเวลาใกล้ๆ ตีห้าของวันรุ่งขึ้นก็ไปปฏิบัติภาระหน้าที่ในงานที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายต่อ"
"ถามว่าเหนื่อยไหมก็ขอบอกว่าพอจะเหนื่อยบ้างครับ แต่มันเป็นหน้าที่และความต้องการที่จะทำ เสร็จงานแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งเวลานับเงินหลังช่วยแฟนขายก๋วยเตี๋ยวเสร็จแล้ว ความเหนื่อยมันหายไปหมดเลยครับ ถึงแม้ว่ากำไรที่ได้จะไม่ใช่มากมายอะไรก็ตาม แต่ก็ถือว่ามากพอสมควรสำหรับตำรวจชั้นผู้น้อยอย่างผม จะใดเหียก็บ่ดีลืมมาอุ๊ดหนุนผมกั๊บแฟนพ่องเน้อ ร้านผมอยู่ใกล้โฮงพักเมืองพาน เปิดทุกวัน ราคาก็แค่ซาวถึงซาวห้า (๒๐-๒๕) บาทต่อถ้วยเต้าอั๊นครับ" ด.ต.พิทักษ์ฯ กล่าวกับบรรณาธิการเป็นภาษากำเมือง
เราได้พูดคุยกับ ด.ต.พิทักษ์ฯ ถึงเรื่องราวต่างๆ ไปแล้ว ต่อไปจะฟังความคิดเห็นของผู้ร่วมงานของตำรวจผู้นี้ซึ่งมีทั้งผู้บังคับบัญชาและเพื่อนๆ บ้างว่าเขาเหล่านั้นมีความคิดต่อตำรวจผู้นี้อย่างไรคนแรกบรรณาธิการได้สัมภาษณ์ผู้บังคับบัญชาซึ่งก็คือ ร.ต.อ.วิสุทธิ์ ภิมาลย์ รอง สวป.ปฏิบัติหน้าที่นายตำรวจผู้ควบคุมงานจราจร
"ในส่วนตัวของผมนะครับ ด.ต.พิทักษ์ฯ เป็นคนที่มีความขยัน ตั้งใจ ในการทำงาน ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นที่รักของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน และปฏิบัติตัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด แม้ผมจะเพิ่งย้ายเข้ามารับราชการที่ สภ.พานใหม่ๆ (๑ สิงหาคม ๒๕๕๐ : บรรณาธิการ) แต่เท่าที่เห็นการปฏิบัติหน้าที่ของเขาถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีได้ทีเดียวครับ รวมไปถึงในส่วนของการครองตน ครองคน ครองงานด้วย" หมวดหนุ่มรูปหล่อให้สัมภาษณ์บรรณาธิการ
"สำหรับที่ ด.ต.พิทักษ์ฯ เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวและช่วยภรรยาพร้อมกับลูกๆ นี้ถือเป็นภาพที่ดีและน่ายกย่องชมเชย ทั้งกับเพื่อนๆ ตำรวจ ผู้บังคับบัญชาและพี่น้องประชาชน ผมเคยได้ฟังพี่น้องประชาชนคนเมืองพานหลายคนพูดชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นภาพที่น่าชื่นชม ยิ่งเห็นวันบางที่เขาแต่งเครื่องแบบครึ่งท่อนหลังเลิกงานแล้วมาบริการแขกด้วยตนเองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว บอกได้เลยว่าน่าชื่นใจ ผมในฐานะผู้บังคับบัญชาชั้นต้นก็ขอยกย่องชมเชยผ่านบรรณาธิการมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ"
คนต่อไปเป็นเพื่อนร่วมงานจราจรด้วยกันคือ จ.ส.ต.บัณฑิต ดำคำ
"ในความเห็นส่วนของผมที่สัมผัสและทำงานร่วมกับอ้าย(พี่)พิทักษ์มานาน" จ.ส.ต.บัณฑิต ดำคำ เจ้าหน้าที่จราจรหนุ่มรูปหล่อให้สัมภาษณ์กับบรรณาธิการ "อ้ายเขาเป็นคนอัธยาศัยไมตรีดี ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย มีภาวะผู้นำสูง มีปัญหาสามารถให้คำปรึกษากับผมและเพื่อนๆ ที่ร่วมงานได้ดี จนสามารถแก้ไขเหล่านั้นได้ในที่สุด ในเรื่องของการครองตน ครองคน ครองงาน อ้ายพิทักษ์สามารถเป็นแบบอย่างได้ ทั้งเรื่องการงาน ส่วนตัวและส่วนรวม เท่าที่ผมสังเกตก็เห็นว่าอ้ายพิทักษ์ใช้ชีวิตโดยน้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็นแนวทางจนทำให้ครอบครัวนี้มีความสุข ไม่เคยพบว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากนี้อ้ายเขายังเป็นคนร่าเริงแต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงจังและจริงใจต่องานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ผมคิดว่าสามารถเป็นแบบอย่างให้กับตำรวจทั่วไปได้เป็นอย่างดีครับ
"นี่แหละครับตำรวจดีๆ ที่กองบรรณาธิการขอยกย่องให้เป็น "ตำรวจดีศรีเมืองพาน" ประจำฉบับนี้ ขอให้เจริญรุ่งเรืองทั้งในหน้าที่การงาน ครอบครัว และส่วนตัวตลอดไป
ด.ต.พิทักษ์ ทิพย์ศรี
ด.ต.พิทักษ์ ทิพย์ศรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น