วันนี้วันเสาร์แรม ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓ วันหยุดสัปดาห์แรกของเดือน แป๊บเดียวเท่านั้นเองปีนี้ก็ผ่านไปแล้ว ๖ เดือนกว่า รวดเร็วอะไรจะปานนั้นวันเดือนปีที่ผ่านไป เพราะฉะนั้นใครมีหน้าที่มีงานมีการอะไรก็รีบๆ ทำซะวันเวลาไม่คอยท่าใครจริงๆ
และก็เหมือนเดิมวันหยุดวันพักผ่อนสำหรับใครหลายๆ คน (แต่ตำรวจเรายังคงทำงานตามปกติ) ผมก็จะขอนำเอาเกร็ดเกร็ดน้อยที่เกี่ยวกับตำรวจเราที่(คิดว่า)น่าสนใจมาบอกมาเล่าให้ฟัง(อ่าน)กันโดยวันนี้ผมขอนำเรื่อง “หัวแดงแข้งดำ” มาเล่าครับ
ก่อนจะถึงจุดนั้นขอบอกก่อนนะครับเรื่องที่จะเล่านี้ผมนำมาจากข้อเขียนของคุณจุลลดา ภักดีภูมินทร์ ที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับกิจการตำรวจสมัยโบราณเป็นหลัก และรวบรวมจากข้อมูลอื่นๆ เท่าที่สามารถสืบค้นได้อีกส่วนหนึ่ง ก็ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้รู้มา ณ โอกาสนี้เป็นอย่างสูง
หัวแดงแข้งดำคืออะไร
คำคำนี้เป็นคำที่ใช้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจของเราสมัยก่อนนั่นน่ะครับซึ่งตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โดยเหตุที่เรียกด้วยคำคำนี้เพราะในสมัยนั้นตำรวจที่เรียกว่า “พลตระเวน” ซึ่งต่อมาก็คือตำรวจนครบาลแต่งเครื่องแบบดังที่นำมาลงเป็นภาพประกอบด้านบนนี้ ใช้ผ้าพันแข้งสีดำและสวมหมวกสีดำ ตรงกลางหมวกมีจุกสีแดง ชาวบ้านจึงมักเรียกกันว่าพวกหงอนแดงแข้งดำ แล้วเลือนเป็นหัวแดงแข้งดำ
พลตระเวนนี้มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งพระองค์ทรงพระราชดำริจัดตั้งกองตำรวจเช่นเดียวกับเมืองสิงคโปร์ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เรียกกันว่าเมืองใหม่ จึงโปรดเกล้าฯให้นายร้อยเอก แซมมวล โยเซฟ เบิร์ด เอมส์ เป็นผู้จัดตั้งกองโปลิศเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๓ มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศแทนข้าหลวงกองจับและกองตระเวนซ้ายขวา (ตำรวจกรมพระนครบาล กรมพระนครบาลคือเวียง ๑ ในจตุสดมภ์) กองตำรวจที่ตั้งขึ้นใหม่นี้โดยมากจ้างพวกแขกมลายูและแขกอินเดียมาเป็นตำรวจเรียกกองตำรวจนี้ว่ากองโปลิศคอนสเตเบิ้ล
ต่อมาถึงรัชกาลที่ ๕ จึงได้โปรดฯให้ตั้งกรมกองตระเวนขึ้น มีตราหน้าหมวกติดหน้าหมวกเป็นโลหะสีเงินรูปกลีบบัวหงาย มีรูปช้างสามเศียรอยู่ตรงกลาง ขอบมีอักษรไทยว่ากรมกองตระเวน ส่วนผ้าพันแข้งและหมวกของพลตระเวนก็ยังเป็นหงอนแดงแข้งดำ ไม่สวมรองเท้าอยู่อย่างเดิม เว้นแต่เลิกจ้างแขกมาเป็นพลตระเวนเปลี่ยนเกณฑ์พลเมืองตามพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหารสมัยนั้น เมื่อโปรดเกล้าฯ ตั้งกรมกองตระเวนขึ้นแล้วก็โปรดฯให้ตั้งโรงพักพลตระเวน มีนายหมวดพลตระเวนเป็นหัวหน้า
พลตระเวนมีหน้าที่ดังนี้คือในเวลากลางวันอยู่ประจำถนนที่เป็นทางแยกซึ่งมีม้า มีรถม้า รถลาก ราษฎรเดินไปมามาก อยู่ประจำตรอก ประจำสถานที่ต่างๆที่มีผู้คนโคจรอยู่เสมอ จับโจรผู้ร้ายระงับการวิวาท ดับเพลิง ฯลฯ สุดแท้แต่จะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามถนนหนทางบ้านเรือนในกรุงเทพฯ แล้วยังมีการลาดตระเวนรักษาท้องที่ลำน้ำ โดยใช้เรือสำปั้นเป็นพาหนะ เวลากลางวันมีพลตระเวนลงเรือลำละ ๓-๔ คนพายเลียบไปตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลอง เพราะสมัยก่อนยังใช้แม่น้ำลำคลองสัญจรไปมา โรงเรือนแพต่างๆมักอยู่ริมแม่น้ำลำคลอง จึงมีตลาดท้องน้ำ มีแพบ่อน มีโรงงิ้วโรงเล่นประจำ ตลาดท้องน้ำเหล่านั้นในเวลากลางคืนเรือลาดตระเวนจึงต้องเพิ่มพลตระเวนเป็น ๖-๘ คน นอกจากหน้าที่ลาดตระเวนรักษาความสงบเรียบร้อย หน้าที่สำคัญของพลตระเวนก็คือจับกุมผู้กระทำผิดต่างๆ เมื่อให้พลตระเวนมีอำนาจกรมกองตระเวนจึงบัญญัติข้อห้ามต่างๆ ให้พลตระเวนเป็นโปลิศหรือตำรวจที่ดี เป็นที่พึ่งของราษฎรได้
สำหรับข้อห้ามต่างๆ ว่าพลตระเวนหรือ “หัวแดงแข้งดำ” นั้นจะต้องนำไปสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติเพื่อให้การทำหน้าที่บริการพี่น้องประชาชนเป็นไปอย่างดีและมีประสิทธิภาพสูงสุดว่ามีอะไรบ้างซึ่งข้อห้ามเหล่านั้นเท่าที่สืบค้นพบจะมีดังนี้ครับ
ห้ามรับสินบน ถ้าพลตระเวนคนใดรับสินบนให้ไล่ออกเสียจากกรมกองตระเวนทันที
ห้ามใช้กระบองตีจำเลยในกรณีจำเลยไม่ต่อสู้และยอมให้จับโดยดี และถึงแม้ว่าจำเลยจะด่าว่าหยาบคายต่อพลตระเวน พลตระเวนที่ดีก็ไม่ควรใช้กระบองตีจำเลย เพราะจำเลยก็มีความผิดทางอาญาอยู่แล้ว
ห้ามลั่นกุญแจมือจำเลยที่เป็นหญิง คนชรา และคนพิการ
ห้ามไม่ให้ไถลเชือนแชหรือไปคุยกับราษฎรเวลาอยู่ยาม
ห้ามเดินก้มหน้าหรือหลังค่อมอันจะทำให้เสียความสง่าผึ่งผายของพลตระเวนไป
ห้ามเอาชื่อของผู้แจ้งเหตุ (ผู้กล่าวหาหรือเจ้าทุกข์) และเรื่องที่แจ้งเหตุไปบอกหรือพูดกับผู้หนึ่งผู้ใด ตลอดจนบอกแก่พวกหนังสือพิมพ์และบอกทนายความเป็นอันขาด เพราะหนังสือพิมพถ้ารู้เรื่องก็ย่อมจะตีพิมพ์เรื่องราวเป็นที่เอิกเกริกทำให้คนร้ายรู้ตัวหนีไป ส่วนพวกทนายความรู้ก็จะทำให้เป็นผู้ได้เปรียบในทางคดี
ห้ามไม่ให้พลตระเวนและภริยากู้ยืมเงินคิดดอกเบี้ยซึ่งกันและกันเป็นอันขาด ถ้าห้ามไม่ฟังให้ไล่ออกเสียจากกรมกองตระเวน ซึ่งข้อห้ามสุดท้ายนี้ชอบกลอยู่แต่ก็เป็นเรื่องราวในสมัยนั้นน่ะครับ สมัยนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของสังคมและเศรษฐกิจ
ครับ นี่ก็คือเรื่องราวคร่าวๆ ของ “หัวแดงแข้งดำ” หรือพลตระเวนซึ่งก็คือตำรวจในยุคสมัยก่อนนั้น คิดว่าคงจะมีประโยชน์และเป็นความรู้เสริมแก่ทุกท่านพอสมควร แล้วก็เช่นเคยครับทุกวันหยุดบล็อกของผมจะนำเรื่องราวเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เกี่ยวกับตำรวจมาเล่าให้ฟัง อย่าลืมเปิดมาเยี่ยมชมนะขอรับ
รักตำรวจ เกลียดตำรวจ มีปัญหาอย่าลืมเรียกใช้ตำรวจนะครับ
สวัสดีครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น