วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ตำรวจเข้าวัด (๘ กรกฎาคม ๒๕๕๓)

มืดแล้วครับช่วงนี้แต่ผมก็ยังอยู่ที่ตู้ยามแม่เย็นเหมือนเดิม ฝนฟ้าค่อยๆ ซาลงไปบ้างแล้ว เย็นนี้ส่วนใหญ่ผมก็จะนั่งจอคอมพิวเตอร์ของตู้นี่แหละซึ่งก็รวมทั้งคอยให้บริการพี่น้องที่อาจจะมาขอใช้บริการเราซึ่งเราก็จะต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ขอบคุณพี่น้องทุกคนจริงๆ ที่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ สภ.พานด้วยดีตลอดเรื่อยมารวมถึงมีน้ำใจกับพวกเราอย่างมากอย่างเช่นเมื่อสักครู่นี้มีน้องๆ จากบริษัทสยามเฟิร์สเอากาแฟหอบใหญ่ๆ มาให้ได้รับแล้วด้วยความยินดี เต็มใจและซึ้งใจมากเลยครับ

ก็อย่างว่านั่นแหละไม่อยากปล่อยเวลาว่างให้เสียไปโดยเปล่าประโยชนฺ์อย่างน้อยที่สุดก็นั่งขีดนั่งเขียนอะไรที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องรวมถึงเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลงานกิจกรรมต่างๆ ของตำรวจไปตัวด้วยก็เลยเปิดไปดูข้อมูลเก่าๆ ที่ผมเคยบันทึกไว้ในบล็อกของผม (http://phanpatrol.spaces.live.com/) ที่พี่น้องหลายๆ คนอาจจะเคยอ่านกันบ้างแล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากจะนำมาเผยแพร่ในบล็อกใหม่นี้อีกครั้งก็เลยขออนุญาต copy ทั้งดุ้นมาเลยครับนั่นก็คือเรื่อง "ตำรวจเข้าวัด" ครับพี่น้อง เรื่องราวเป็นแบบนี้ครับท่าน

สวัสดีครับ พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา สวป.สภ.พาน เชียงราย รายงานตัวครับผม

วันนี้วันอาทิตย์แรม ๑๑ ค่ำ เดือนอ้าย ปีชวด ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๒ วันหยุดพักผ่อนอีกวันหนึ่งสำหรับหลายๆ คน และเนื่องในโอกาสที่เดือนนี้เป็นเดือนมิ่งมหามงคลของปวงชนชาวไทยทุกหมู่ทุกเหล่า ผมจึงขอเชิญทุกท่านประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด รวมถึงน้อมนำพระบรมราโชวาทและพระราชกรณียกิจขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติอย่างมิทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเพื่อพสกนิกรของพระองค์ท่านและศาสนาที่นับถือมาเป็นแนวทางในการทำงานทำหน้าที่เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ท่านโดยพร้อมเพรียงกันครับ




วันหยุดนี้ผมขอนำเรื่องที่เจ้าหน้าที่สายตรวจ สภ.พานยึดถือและปฏิบัติก่อนออกปฏิบัติช่วงเย็นวันพุธมาเล่าให้ฟังนั่นก็คือการนำเจ้าหน้าที่เข้าน้อมนำและรับฟังธรรมะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าจากพระสงฆ์ก่อนออกปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้การปฏิบัติมีความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่พวกเราจะกระทำได้ เรื่องนี้ผมมอบนโยบายแก่เจ้าหน้าที่ว่าพวกเราทุกคน (ที่ สภ.พานนะครับ) นับถือศาสนาพุทธซึ่งปัจจุบันบางคนแทบไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวาฟังเทศน์ฟังธรรมกันนัก อาจจะด้วยไม่มีเวลาหรืออะไรก็แล้วแต่ และลำพังการชี้แจงข้อราชการหรือแนวคิดของผมและผู้บังคับบัญชาท่านอื่นแก่เจ้าหน้าที่ก่อนออกปฏิบัติหน้าที่นั้นอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่นักจึงต้องหาหรือเชิญวิทยากรผู้ทรงความรู้ฝ่ายอื่นๆ เข้ามามีบทบาทและช่วยชี้แนะการปฏิบัติด้วยซึ่งเท่าที่นึกได้และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์พอสมควรก็คือพระสงฆ์นั่นเอง จึงได้จัดทำโครงการ “ตำรวจฟังธรรมก่อนออกปฏิบัติหน้าที่” ขึ้นมา โดยวัตถุประสงค์คร่าวๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้รับความรู้ความเข้าใจเพิ่มเติมรวมทั้งน้อมนำหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด




โครงการนี้ทำมาได้ปีเศษๆ แล้ว สำหรับการดำเนินการก็คือให้เจ้าหน้าที่สายตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ผลัดที่จะปฏิบัติหน้าที่ในวันพุธระหว่างเวลา ๑๖.๐๐-๒๔.๐๐ น.เข้าวัดซึ่งจะอยู่ในเขตเทศบาลตำบลเมืองพานใกล้ๆ โรงพักนั่นแหละตามที่ผมได้ประสานพระคุณเจ้าไว้แล้วไปพร้อมกันที่วัดก่อนเวลา ๑๕.๓๐ น.เพื่อรับฟังธรรมะตามหัวข้อที่พระคุณเจ้าจะพิจารณาเห็นสมควร (ยกเว้นวันนั้นมีภารกิจจำเป็นเร่งด่วนจริงๆ ก็ให้งด) ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาทีเสร็จแล้วได้เวลาเข้าเวรพอดี เหตุผลว่าทำไมต้องเป็นวันพุธนั้นเนื่องจากว่าวันพุธเป็นวันที่ไม่ค่อยจะมีภารกิจมากเหมือนวันอื่นๆ (เท่าที่พบที่ สภ.พานนะครับโรงพักอื่นผมไม่แน่ใจ) สำหรับสายตรวจของ สภ.พานที่จะเข้ารับฟังธรรมะนั้นประกอบไปด้วยสายตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ซึ่งมีฝ่ายละ ๓ และ ๔ ชุดตามลำดับ ๑ อาทิตย์เข้าฟังธรรมะ ๑ ชุด เมื่อคำนวณดูแล้วใน ๑ เดือนเจ้าหน้าที่สายตรวจของผมจะได้รับฟังธรรมะกันทุกคน




ตั้งแต่จัดทำโครงการนี้ขึ้นมาผมสังเกตเห็นว่าเจ้าหน้าที่สายตรวจทุกคนมีความตั้งใจ กระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้นกว่าเดิม จากบางคนที่ออกจะเฉื่อยชาสักนิดก็กลับมาว่องไวกระฉับกระเฉงขึ้น รวมถึงบอกว่าเป็นนโยบายที่ดีมากเพราะตัวเองแทบไม่มีเวลาเข้าวัดเข้าวากับเขา เมื่อมาได้เข้าในช่วงก่อนทำงานจึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและอยากให้ดำเนินการ เช่นนี้ตลอดไป ซึ่งผมได้บอกเจ้าหน้าที่แล้วว่าโครงการนี้จะยังคงมีอยู่และดำเนินการอย่างต่อเนื่องตราบใดที่ผมยังอยู่ที่โรงพักเมืองพานแห่งนี้ครับ

สำหรับภาพประกอบด้านล่างนี้เป็นส่วนหนึ่งในการเข้ารับฟังธรรมะของพวกเราเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาซึ่งวันนั้นผมนำเจ้าหน้าที่สายตรวจไปที่วัดพระธาตุจอมแว่ และเพื่อให้บันทึกนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นจึงขอนำหลักธรรมะที่พวกเราได้รับจากพระคุณเจ้าคือท่านพระอธิการแสวง กิตติธโร เจ้าอาวาสวัดพระธาตุจอมแว่ที่แสดงแก่พวกเราในหัวข้อ “ธรรมที่เป็นอุปการะมาก” มาเล่าให้ฟังประกอบดังนี้ครับ




“ธรรมะที่เป็นอุปการะมาก ๒ อย่าง” โดยมีข้อมูลพอสังเขปดังนี้แก่เจ้าหน้าที่
- สติ ความระลึกได้
- สัมปชัญญะ ความรู้ตัว
ธรรม ๒ ประการนี้เป็นอุปการะมาก มีส่วนเกื้อกูลมากต่อการทำงานหรือทำความดีทุกอย่าง ความสามารถที่จะรักษาศีลและวินัยคฤหัสถ์ได้บริบูรณ์หรือไม่ก็ขึ้นกับสติและ สัมปชัญญะ ผู้มีธรรม ๒ ประการนี้ ย่อมเป็นคนรอบคอบ ไม่ประมาท จะคิดจะทำจะพูดอะไรก็จะไม่ผิดพลาดเสียหาย

สติ ความระลึกได้หมายถึงระลึกได้ถึงการกระทำ คำที่พูดและเรื่องที่คิดแม้ที่ล่วงมาแล้วได้หรือระลึกถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต เช่น กำหนดว่าชั่วโมงต่อไปนี้หรือพรุ่งนี้จะทำอะไรก็นึกขึ้นมาได้ หน้าที่ของสตินั้นเป็นไปได้ ๒ กาล คืออดีตและอนาคต

สัมปชัญญะ ความรู้ตัว หมายถึงความรู้ตัวที่เป็นไปในปัจจุบันในขณะที่กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิด หรือทำ พูด คิด อะไรอยู่ก็รู้ตัวในขณะนี้ เช่น เรากำลังอ่านหนังสืออยู่ขณะนี้ก็รู้ว่าเรากำลังอ่านหนังสือ เรากำลังพูดอยู่ก็รู้ตัวว่าเรากำลังพูด เรากำลังจะกระทำในเรื่องผิดศีลก็รู้ว่ากำลังจะกระทำผิด เรากำลังจะเล่นการพนันก็รู้และเร่งรีบเตือนตนว่ากำลังจะกระทำผิด อยู่ฉะนั้น หน้าที่ของสัมปชัญญะย่อมเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น

ลักษณะที่ดีของสัมปชัญญะ สัมปชัญญะที่ถูกต้องตามธรรมและหลักคำสอนของพุทธศาสนามี ๕ ประการ คือ

๑. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์หรือไม่

๒. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเหมาะกับตนหรือไม่

๓. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นความทุกข์หรือสุขอย่างไร

๔. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเป็นความงมงายหรือไม่

5. รู้ตัวว่าการที่ตนกำลังทำอยู่นั้นเลื่อนลอยไร้สาระหรือไม่

ความรู้ตัวในขณะที่ทำนั้น มิใช่เพียงแต่รู้ตัวว่ากำลังทำเฉยๆ หากแต่ต้องเป็นความรู้ตัวซึ่งประกอบด้วยองค์ลักษณะ ๔ ประการ โดยกล่าวสรุปว่า

๑. มีประโยชน์หรือไม่

๒. เหมาะสมกับตนหรือไม่

๓. เป็นความทุกข์หรือความสุข

๔. เป็นความฉลาดหรืองมงาย เลื่อนลอย ไร้สาระ

ความรู้ตัวอย่างที่กล่าวมานี้เป็นองค์ประกอบสัมปชัญญะที่ถือว่ามีอุปการะมากก็เพราะเมื่อรู้ตัวแล้วจะได้ปรับปรุงแก้ไขในการทำงานให้ดีมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ไม่มัวทำในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไม่มัวทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับเพศภาวะของตน ไม่มัวทำในวิธีการผิดๆ และไม่มัวทำในเรื่องที่งมงายไร้สาระเป็นต้น




หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนในวันนี้คงจะมีประโยชน์ต่อทุกท่านอยู่บ้างตามสมควรและในนามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พานทุกคนขอให้คำมั่นสัญญาว่าจะตั้งใจประพฤติดี ปฏิบัติดีและทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถเพื่อความผาสุกของสังคมและพี่น้องประชาชนตลอดไป



รักตำรวจ เกลียดตำรวจ มีปัญหาอย่าลืมเรียกใช้ตำรวจนะครับ


สวัสดีครับผม

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:01

    ดีมากครับ เป็นความคิดที่ดีจริงๆ

    ตอบลบ