
ในวันเข้าพรรษาและช่วงฤดูพรรษากาลตลอดทั้ง ๓ เดือน พุทธศาสนิกชนชาวไทยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะบำเพ็ญกุศลด้วยการเข้าวัดทำบุญใส่บาตร ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งสิ่งที่พิเศษจากวันสำคัญอื่น ๆ คือมีการถวายหลอดไฟหรือเทียนเข้าพรรษาและผ้าอาบน้ำฝน (ผ้าวัสสิกสาฏก) แก่พระสงฆ์ด้วยเพื่อให้พระสงฆ์ได้ใช้สำหรับการอยู่จำพรรษา

วันนี้เป็นวันหยุดราชการซึ่งหยุดติดต่อกันถึง ๔ วัน หลายคนหลายท่านคงจะมีความสุขรวมถึงมีกำลังวังชาแลจิตใจที่เปี่ยมล้นด้วยกุศลจากการเข้าวัดเข้าวาฟังเทศน์ฟังธรรม ทำบุญ รวมถึงน้อมนำเอาธรรมะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นหลักหรืิอแนวทางในการดำเนินชีวิตในช่วงนี้กันพอสมควร แล้วก็เหมือนเดิมครับไม่ว่าจะเป็นวันหยุดหรือไม่ก็ตามบล็อกของผมจะนำข้อมูลข่าวสาร สาระ สิ่งดีๆ ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์มาฝากกันทุกวัน สำหรับวันนี้เนื่องจากเป็นวันหยุดซึ่งผมมีโอกาสหยุดกับเขาด้วยเลยไม่มีเรื่องราวในโรงพักมาเล่ามาบอก จึงขอนำเสนอเรื่องราวเก่าๆ ของตำรวจที่หลายคนคงไม่เคยได้ยินได้ฟังที่ไหนมาก่อนมาเล่าให้ฟังแทนโดยเรื่องที่จะเล่านั้นเป็นเรื่อง "กองจับโจรผู้ร้าย" ครับ
ท่านสาูธุชนผู้มีจิตอันเปนกุศลทั้งหลายครับ การที่หมู่ชนรวมกลุ่มอยู่กันเป็นจำนวนมากนั้นย่อมมีทั้งคนดีแลไม่ดีปะปนกันไปไม่ว่ายุคใดสมัยใด โชคดีอยู่อย่างที่คนไม่ดีมีน้อยกว่าคนดีมากมิฉะนั้นสังคมคงอยู่ไม่รอดจนถึงปัจจุบัน แล้วคนไม่ดีนี่ก็ต้องมีการลงโทษลงทัณฑ์กันตามโทษานุโทษแห่งการกระทำหรือแยกออกจากสังคมเสียชั่วระยะเวลาหนึ่งรวมถึงอาจต้องตัดออกจากสังคมไปเลยก็มีบ้างในบางครั้งหากเรื่องที่ไปก่อนั้นรุนแรงหรือสร้างความเสียหายแก่สังคมอย่างใหญ่หลวง เช่นตัดสินโทษให้จำคุก,ปรับ,ริบทรัพย์สิน หรือประหารชีวิต สำหรับหน้าที่กำราบปราบปรามจับกุมผู้ทำผิดนี้ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของตำรวจเสียมากกว่าแต่ก็มีอยู่บ้างที่บางยุคบางสมัยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นด้วยแต่ส่วนใหญ่จะเป็นตำรวจ
การทำงานของตำรวจทุกยุคทุกสมัยนอกจากจะทำงานตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้แล้ว บางครั้งอาจให้มีหน้าที่หรืองานบางอย่างเป็นการเฉพาะนอกเหนือจากหน้าที่ปกติตามสภาพการณ์ที่ปรากฏในยุคหรือห้วงนั้นๆ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนก็คือท่านคงจะเคยได้ยินว่ามีการจัดตั้ง "ชุดเฉพาะกิจ" เรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาสำหรับทำหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะ และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว "ชุดเฉพาะกิจ" นั้นก็จะถูกยกเลิกไป ในยุคก่อนก็เช่นเดียวกันนั่นก็คือเรื่องที่ผมจะนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้ "กองจับโจรผู้ร้าย" ซึ่งเกิดขึ้นสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕

เพื่อมิให้ราษฎรของพระองค์ท่านหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนเกินไปรวมถึงมีพระราช

เมื่อผมอ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกปลื้มปีติยินดียิ่งที่เกิดมาเป็นคนไทยภายในพระบรมโพธิสมภารขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ที่คนไทยทุกคนล้วนประจักษ์ชัดแจ้งดีแล้วในความทรงมีพระเมตตากรุณาแก่พสกนิกรของพระองค์ท่านไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใดตั้งแต่เรามีเมืองไทยซึ่งปกครองด้วยระบอบพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขมาจนถึงบัดนี้ เพราะในราชกิจจาฯ นี้มีตอนหนึ่งเขียนไว้ว่า "ถ้ากองจับไปจับคนที่ไม่ได้เปนโจรผู้ร้ายกระทำการกดขี่คุมเหง (ข่มเหง,ผู้เขียน) ราษฎรซึ่งทำมาหากินโดยสุจริตประการใด ได้โปรดเกล้าฯ ตั้งพระบรมวงษานุวงษแลข้าราชการเปนกอมมิตตี (committee (กรรมการ,คณะกรรมการ,ผู้เขียน)) สำหรับรับเรื่องราวกล่าวโทษกองจับ ให้นั่งประชุมในพระบรมมหาราชวังกองหนึ่ง ถ้าผู้ใดจะกล่าวโทษกองจับว่ากดขี่คุมเหงผิดด้วยยุติธรรมประการใด ให้มายื่นเรื่องราวต่อที่ประชุมในพระบรมมหาราชวัง ให้นำข้อความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระแล้ว ให้กอมมิตตีเร่งพิจารณาตัดสินให้แล้วเสรจเพียงสามวันเจดวัน ถ้ากองจับไปทำการคุมเหงราษฎรที่ประพฤติโดยสุจริตจะลงพระราชอาญาตามโทษานุโทษ" นี่ครับ พวกเราจะเห็นถึงพระเมตตาที่เปี่ยมล้นด้วยความรักความผูกพันต่อพสกนิกรของพระองค์ท่านซี่งทุกพระองค์ได้ทรงปฏิบัติตลอดต่อเนื่องกันมาจวบจนถึงล้นเกล้าฯ รัชกาลปัจจุบัน
ทีนี้ก็ต้องมีบ้างครับที่คนซึ่งเป็นโจรผู้ร้ายจริงๆ กลั่นแกล้งกล่าวหาผู้จับว่าตนเองไม่ใช่คนร้ายหรือผู้กระทำผิดแต่กองจับกลั่นแกล้ง แล้วจะทำอย่างไร ในราชกิจจาฯ เรื่องเดียวกันนี้ระบุไว้ว่า "ถ้าผู้ร้ายมาแกล้งร้องแก้เกี้ยวเพื่อจะชักถ่วงหน่วงความให้ช้า จะได้ลงพระราชอาญาชั้นหนึ่ง แล้วให้พิจารณาความเดิมต่อไปให้แล้วโดยเร็ว" นี่ก็แสดงว่าหากมีการกระทำผิดจริงๆ แล้วผู้กระทำต้องได้รับพิจารณาโทษอย่างแน่นอนไม่มีทางเลี่ยงบาลีเป็นอย่างอื่นได้
ในราชกิจจาฯ ยังได้กำหนดถึงโจรผู้ร้าย,ผู้ที่รู้จักหรือให้แหล่งพำนักพักพิงแก่ผู้ร้ายไว้ด้วยโดยมีข้อความว่า "ถ้าผู้ใดได้ประพฤติเปนโจรผู้ร้าย ฤาได้รู้จักเปนเจ้าสำนักนิ์หลักแหล่ง ผู้รู้ตัวกลัวความผิดมาลุแก่โทษต่อกองจับ รับนำส่งพวกเพื่อนที่ได้ทำโจรกรรมด้วยกัน ก็จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามพระราชกำหนดกฎหมาย ผู้ใดเป็นเจ้าสำนักนิ์หลักแหล่งผู้ร้าย รู้เหนแล้วช่วยปิดบังโจรผู้ร้าย จะลงพระราชอาญาตามโทษานุโทษ ถ้าผู้ใดถูกโจรผู้ร้ายมาทำประการใดๆ ฤาทราบว่าโจรผู้ร้ายอยู่แห่งใดก็ให้มาแจ้งความต่อกองจับกองใดกองหนึ่งใน ๒๐ กองนี้ จะได้ไปคิดจับตัวโจรผู้ร้ายมาทำโทษเสียให้เข็ดหลาบ ให้ราษฎรเปนศุขทั่วกัน"
จะเห็นว่านอกจากจะกำหนดให้มี "กองจับโจรผู้ร้าย" เพื่อจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว ยังให้ราษฎรผู้รู้แหล่งหลบซ่อนหรือรู้เห็นเป็นใจกับผู้ร้ายมาบอกมาแจ้งความหรือกลับเนื้อกลับตัวไม่กระทำผิดต่อไปแล้วก็จะได้รับการลดหย่อนผ่อนลงโทษตามส่วนอีกด้วย
ครับ นั่นก็คือประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งในเรื่องการจัดตั้ง "กองจับโจรผู้ร้าย" ของไทยเราในช่วงยุค ๑๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา
หลายท่านอาจจะมีคำถามว่าเวลานี้หรือในยุคปัจจุบันวงการตำรวจของเรามี "กองจับโจรผู้ร้าย" หรือไม่ ถ้าจะตอบแบบกำปั้นทุบดินลักษณะคำต่อคำก็คงบอกว่า "ไม่มี" แต่หากพิจารณาเนื้อความถ้อยคำแล้วผมตอบได้เลยว่า "มี" มีแน่นอนครับ เอ้อ ที่ว่ามีน่ะมีแบบไหนกัน อ้า..ผมจะเฉลยให้ฟัง
หวังว่าข้อเขียนของผมวันนี้คงจะเกิดประโยชน์ต่อท่านสาธุชนนผู้มีจิตอันเปนกุศลทั้งหลายอยู่บ้างตามสมควร
รักตำรวจ เกลียดตำรวจ มีปัญหาอย่าลืมเรียกใช้ตำรวจนะครับ
สวัสดีครับผม
ขอบคุณท่าน สวป.สุพจน์นะครับที่เอาเรื่องเก่าๆ ของตำรวจมาให้อ่านกันเสมอ นับถือในความพยายามครับท่าน
ตอบลบดูรูปสมัยที่ท่านเป็นนักเรียนายร้อยนี่หล่อเนอะ แต่ตอนนี้ก็ยังหล่ออยู่นะ อิอิอิ
ตอบลบรูปพี่ชายเราเท่ห์ที่สุดเลยขอบอก
ตอบลบขอเรียนถามว่า พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา พรานรุ่นที่เท่าไร...ขอบคุณมากๆ.
ตอบลบขอเรียนถามเพิ่มเติมอีกว่า ที่กองกำกับการตำรวจภูธรจ.เชียงราย มีชื่อ ด.ต.หญิง อังคนา ถิ่นพนม ยังรับราชการอยู่ที่นี่หรือไม่ ถ้ายังมีชื่อทำงานอยู่ ขอความกรุณาจากท่านได้ช่วยกรุณาบอกด้วยว่าเพื่อนที่อยู่ทางใต้(จ.สุราษฏร์) ฝากความคิดถึง เพราะไม่ได้เจอะเจอกันเป็นเวลาหลายปีมาแล้วขอให้ติดต่อกลับตามเบอร์ที่บอกมา ตามนี้0858899717. ขอขอบพระคุณมายังท่าน พ.ต.ท.สุพจน์ฯ เป็นอย่างสูง...
ตอบลบ