วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อนุสาวรีย์ตำรวจ (๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓)

สวัสดีครับ พ.ต.ท.สุพจน์ มัจฉา สวป.สภ.พาน ครับผม

วันนี้วันเสาร์แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันหยุดวันพักผ่อนของพี่น้องหลายๆ ท่าน แต่ก็ยังเป็นวันทำงานตามปกติของตำรวจเราเหมือนเดิมซึ่งไม่มีวันหยุดตลอด ๒๔ ชั่วโมงใน วัน วันใน สัปดาห์ ๓๐-๓๑ วันใน เดือน และ ๑๒ เดือนใน ปี ตำรวจของเราก็จะต้องทำงานตลอดเพื่อให้พี่น้องประชาชนอันเป็นที่รักของเรามีความสุข มึความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน มีอะไรที่จะให้ตำรวจของเรารับใช้ไม่ต้องเกรงใจนะครับ พวกเราพร้อมเสมอที่จะทำงานเพื่อทุกท่าน

แล้วก็เข้าเรื่องกันเลยนะครับวันนี้แม้ว่าจะเป็นวันหยุด ในส่วนกิจกรรมในหน้าที่ของผมก็น้อยลงไปบ้าง แต่ก็จะขออนุญาตนำเสนอเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวกับตำรวจมาให้รับทราบเหมือนเดิมตามความตั้งใจที่คิดไว้แต่แรกในการทำบล็อกว่าทุกวันบล็อกของผมจะต้องมีข่าวคราวหรือความเคลื่อนไหวต่างๆ ตลอด สำหรับเรื่องที่จะนำเสนอให้ทราบวันนี้ขอนำเรื่อง อนุสาวรีย์ตำรวจ มาบอกกันครับ

ประวัติความเป็นมาและความหมาย

อนุสาวรีย์ตำรวจซึ่งเดิมตั้งอยู่หน้าตึกปทุมวันนั้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้ ม.ล.ปุ่น มาลากุล เป็นผู้อำนวยการจัดสร้าง และมอบหมายให้ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี แห่งกรมศิลปากรเป็นช่างปั้นรูปหุ่นตำรวจอุ้มคนเจ็บมีเด็กญาติคนเจ็บเกาะขา ลักษณะของอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นนี้ฐานส่วนล่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสทำด้วยหินอ่อน มีส่วนกว้างและสูงด้านละ ๑.๓๕ เมตร ภายในกลวงสำหรับบรรจุอัฐิตำรวจผู้เสียชีวิตในหน้าที่ราชการ รอบ ๆ ฐานด้านหน้ามีรูปตราโล่และตัวอักษรจารึกว่าผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน ส่วนด้านข้างอีก ด้านมีพวงหรีดทำด้วยทองเหลืองติดอยู่และด้านหลังมีประตูเหล็กปิดเปิดสำหรับเก็บอัฐิ บนฐานเป็นรูปหุ่นตำรวจเท่ากับคนตัวจริงหล่อด้วยทองเหลือยืนอุ้มคนเจ็บและมีเด็กญาติคนเจ็บเกาะขาตำรวจอยู่ ตอนล่างของฐานเป็นแท่งหินอ่อนมีบันใดหินอ่อน ๓ ขั้นขึ้นลงได้ทั้ง ด้านรองรับอีกชั้นหนึ่ง อนุสาวรีย์ตำรวจยืนอุ้มคนเจ็บโดยมีเด็กญาติคนเจ็บเกาะขาตำรวจอยู่นี้มีความหมายว่านอกจากตำรวจจะทำหน้าที่ในการปราบปรามแล้วยังมีหน้าที่บริการและการช่วยเหลือระงับทุกข์บำรุงสุขแก่ประชาชนอันได้แก่การบริการและการช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น ช่วยคนเป็นลม คนตกน้ำ คนหลงทาง คนข้ามถนน คนเจ็บป่วย ผู้ประสบอุบัติเหตุ และในเวลาค่ำคืนก็ช่วยเตือนเจ้าบ้านให้ปิดประตูหน้าต่างป้องกันโจรกรรมตลอดจนเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขของประชาชนเหล่านี้เป็นต้น

อนุสาวรีย์ตำรวจผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชนสร้างขึ้นเสร็จพร้อมกับตึกสำนักงานตำรวจและได้ทำพิธีเปิดในวันตำรวจเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๔๙๖ อนุสาวรีย์ตำรวจผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชนนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญชิ้นหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอันควรที่ตำรวจและประชาชนจะได้รู้จัก แต่ปัจจุบันนี้ได้นำไปไว้ที่ศูนย์ฝึกอบรมกลา่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขนเดิม) เมื่อเข้าไปติดต่อราชการที่สำนักงานตำรวจจึงไม่มีให้เห็น โดยกรมตำรวจสมัยที่ พล.ต.อ.เภา สารสิน เป็นอธิบดีได้จัดสร้างพระบรมรูปรัชกาลที่ ประดิษฐานแทน ซึ่งพระบรมรูปนี้สร้างด้วยโลหะสำริดรมดำ สูง ๑๗๕ เซนติเมตร ปฏิมากรคือนายสุกร ศิระสงเคราะห์ กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากรเป็นช่างปั้น งบประมาณค่าปั้นหล่อแบบเป็นเงิน ๒๑๐,๐๐๐ บาทด้วยการร่วมศรัทธาบริจาคจากข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไป และกรมตำรวจในสมัยนั้นได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อพระบรมรูปรัชกาลที่ซี่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อพระบรมรูปรัชกาลที่ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ธันวาคม พ.. ๒๕๓๑ และกรมตำรวจหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบันได้นำพระบรมรูปรัชกาลที่ประดิษฐานบนแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์หน้าอาคารกรมตำรวจ เมื่อวันที่ตุลาคม ๒๕๓๔

หวังว่าคงจะเกิดประโยชน์และเป็นความรู้สำหรับพี่น้องบ้างตามสมควรแล้ววันหยุดต่อๆ ไปจะขอนำเรื่องราวของตำรวจเรามาบอกมาเล่าให้ฟังเหมือนเดิมนะครับ


รักตำรวจ เกลียดตำรวจ มีปัญหาอย่าลืมเรียกใช้ตำรวจนะครับ


สวัสดีครับผม

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:02

    จริงด้วยซิครับ มิน่าล่ะตอนหลังๆ ผมผ่านไปแถวๆ กรมตำรวจไม่เห็นอนุึสาวรีย์นี้เลย

    ตอบลบ
  2. ขออนุญาตครับ ผมน้อง นรต.60 ครับ ขออนุญาตเพิ่มเติมนิดหนึ่งครับ ตอนนี้อนุสาวรีย์ผู้พิทักษ์รับใช้ประชาชน ได้ย้ายมาอยู่ที่ รร.นรต. แล้วครับ http://www.rpca.ac.th/benchawan/e-Heropolice/pdf1/history.pdf

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ30 เมษายน 2565 เวลา 08:44

    ขอสดุดีใว้อาลัยรักและศัทธาในจิตใจของวีรบุรุษตำรวจไทยในยุคสมัยราชการที่3_4_5ตำรวจทหารในยุคสมัยก่อนนั้นปฏิบัตทำหน้าที่ดูแลรักษาให้เกรียติต่อประชาชนใด้ดีถึงหน้าบ้านโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยเลยขอแค่ประชาชนอยุ่เย็นเป็นสุขก็พอค่ะแต่ตำรวจที่อยุ่ในยุคสมัยราชการที่9-10นี้เห็นแก่อำนาจของกิเลสทรัพสินเงินทองมากกว่าตระกูลไดร่ำรวยเงินทองต่อให้ทำผิดต่อประเศชาติแค่มีเงินปิดปากเงียบกริบต่อให้ป็นเจ้าใหญ่นายโตขนาดไดจออำนาจเงินทองอุดปากเท่านั้นแหระเกรียติยศศักดิ์ศรีใหญ่คับฟ้าขนาดไหนเจออำนาจเงินเข้าไปร่างกายถึงกับอ่อนระทวยรวยินมอบกราบยุ่แทบเท้ากันเลยละค่ะยุคสมัยก่อนตำรวจทหารทำเพื่อพี่น้องประชาชนด้วยความสื่อสัต์และจริงใจต่อพี่น้องประชาชนจริงๆค่ะ

    ตอบลบ