วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อที่อำเ้ภอแกลง ระยอง (ต่อ) (๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓)

วันทำบุญ

วันรุ่งขึ้น (๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๓) พวกเราตื่นกันตั้งแต่เช้า ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วราวๆ ๗ โมงกว่าก็เดินทางไปที่วัดกัน ไปถึงได้พักหนึ่งญาติมิตรอีก ๑๐ กว่าคนก็เดินทางมาสมทบเพื่อทำอาหารหวานคาวถวายพระ การทำก็เป็นอาหารทางภาคพื้นระยองนั่นแหละครับ แกงเผ็ดเนื้อ , ผัดกุ้งหอยปูปลา , อาหารหวานคาวอื่นๆ อีกหลายอย่าง ทำไปก็พูดคุยกันไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งผมที่นานๆ กลับไปบ้านครั้งหนึ่งรู้สึกจะเนื้อหอมกว่าเพื่อน ญาติๆ ส่วนใหญ่จะเข้ามาถามมาคุย เป็นไงบ้าง อยู่ไหนตอนนี้ ทางเหนืออากาศหนาวไหม มีลูกกี่คน โตๆ กันหรือยังประมาณนี้นี่แหละ



ส่วนผมก็จะถามถึงญาติคนนั้นคนนี้บ้่างว่าเป็นยังไง ยังอยู่สบายกันดีหรือเปล่า แต่ ถ้าถามเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเมื่อไรแบบว่าผมอย่างน้อย ๑ ปีถึงจะได้กลับบ้านหนหนึ่งคำตอบที่ได้รับก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจไปแทบทุกครั้งเหมือนกันคือญาติผู้ใหญ่หลายๆ คนล้มหายตายจากไปทุกปีเลยก็ว่าได้ ปีละคนสองคน เพราะส่วนใหญ่ก็อายุมากๆ กันแล้วทั้งนั้น ๗๐,๘๐ ก็มี แหม จะไม่ให้อายุมากได้ไงตัวเองก็ปาเข้าไป ๕๐ ปีปีนี้แล้ว เป็นแบบนี้ทุกปีครับเวลากลับบ้านก็จะพบว่าญาติผู้ใหญ่บางคนล้มหายตายจากไปทุกปี ก็เป็นวัฏจักรของชีวิตน่ะผมว่า คนรุ่นเก่าๆ ค่อยๆ หมดไป คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาแทนที พวกเด็กๆ จำนวนมากผมไม่รู้จักว่าเป็นใคร อาศัยประมาณเค้าหน้าว่าไปทางคนไหนก็คงจะเป็นลูกเป็นหลานคนคนนั้น ผมถามเด็กๆ หลายคนซึ่งส่วนใหญ่ไม่รู้จักผมหรอกครับเ้พราะผมออกจากบ้านไปเมื่ออายุ ๑๘ ปีตอนนี้ ๕๐ ปี เฮ้อ เราออกจากบ้านไป ๓๐ กว่าปีแล้วและนานๆ จะได้กลับบ้านครั้งหนึ่ง เวลากลับก็ไม่ค่อยได้พบใครนอกจากคุณแม่และญาติสนิทก็เลยทำให้เด็กๆ ไม่รู้จักเรารวมทั้งเราก็ไม่รู้จักเด็กด้วย แต่วันนั้นได้รู้จักกันเพิ่มขึ้นหลายคนเลยทีเดียวครับ



พวกเราทำอาหารกันไปพูดคุยกันไปได้สักพักญาติๆ คนอื่นก็ตามมาสมทบเพื่อร่วมทำบุญด้วย วันนั้นมีญาติมาร่วมทำบุญทั้งหมดเป็นร้อยคนก็ว่าได้ ก็ได้อาศัยเวลานี้อีกนั่นแหละพูดคุยทักทายตามประสาญาติที่ไม่เคยพบกันมานาน มันเป็นความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว



ทำอาหารเสร็จก็เวลาประมาณใกล้ๆ ๑๐ โมงเช้าแล้วอีกพักหนึ่งพระในวัดที่นิมนต์ไว้ทั้่่้งหมดซึ่งมี ๑๐ รูปก็เดินมาประจำที่จากนั้นก็เป็นพิธีทางศาสนาครับ




ทำพิธีทางศาสนาเสร็จ พระฉันจังหันเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาของพวกเราทั้งหมดนั่งล้อมวงทานอาหารกลางวันอย่างมีความสุข



เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วก็เลยถือโอกาสนี้ถ่ายภาพลูกๆ หลานๆ กับคุณแม่ไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย




เวลาประมาณเที่ยงเศษๆ มีคุณครู ๒ ท่านซึ่งเป็นครูชั้นประัถมปีที่ ๕ คนแรกของผมมาร่วมทำบุญด้วยโดยคุณครูทั้ง ๒ นั้นเป็นสามีภรรยากันชื่อคุณครูวินัย คุณครูไพวรรณ จันทศร ซึ่งปัจจุบันใกล้จะเกษียณแล้วและตลอดระยะเวลาที่รับราชการก็อยู่ที่โรงเรียนที่ผมเรียนชั้นประถมปลายคือโรงเรียนวัดเกาะลอยตลอดเรื่อยมาเดินทางไปที่วัดบอกว่าจะมาร่วมทำบุญด้วยแต่เหตุที่มาช้ากว่าเวลาเนื่องจากที่วัดเกาะลอยวันนั้นมีกฐินมาทอดก็์ต้องใช้เวลานั้นอยู่ร่วมงานก่อนเสร็จแล้วก็มาที่วัดพังราดนี่แหละ เห็นหน้าคุณครูทั้ง ๒ ท่านแล้วก็ปลื้มใจมากครับ ท่านเป็นครูของพวกเราทั้งกายและใจตลอดเรื่อยมา ท่านถามหาลูกศิษย์ของท่านเสมอ ลูกศิษย์คนไหนได้ดีก็ดีใจด้วย แต่หากคนไหนติดขัดหรือมีเรื่องอะไรๆ ท่านก็จะคอยหาทางแก้ไขให้เสมอด้วยความเต็มใจ นี่แหละครับคุณครูของพวกเราที่พวกเรารักมาก

วันนั้นหลังจากทำบุญเสร็จแล้วเวลาประมาณใกล้ๆ บ่ายสองผมก็เดินทางออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถไปกรุงเทพและต่อรถจากกรุงเทพกลับพะเยา ผมกลับมาเป็นคนแรกซึ่งเวลานั้นที่บ้านคุณแม่ลูกๆ หลานๆ ยังกันอยู่เต็ม ก่อนออกมาก็ใจหายเหมือนกันครับที่อีกสักพักหนึ่งลูกๆ หลานๆ ที่เต็มบ้านก็จะจากคุณแม่ไปยังบ้านของตนเองเหมือนเดิม แต่คุณแม่ก็เข้าใจน่ะครับ พวกเราทุกคนติดต่อคุณแม่ตลอดเวลาทางโทรศัพท์ทำให้เหมือนกับพวกเราอยู่กับคุณแม่และคุณแม่อยู่กับพวกเราใกล้ชิดกันตลอดเวลา



ครับ นี่ก็คือเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังในช่วงการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่คุณพ่อประจำปีนี้ซึ่งพวกเราจะัทำแบบนี้ตลอดเรื่อยไปทุกปีครับ

<< ตอนก่อนหน้านี้ >>

<< ภาพประกอบ (๒๒๓ ภาพ) >>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น